สัปดาห์ที่ ๔
1.มีงานพิธีไหว้ครูประจำปี 2552
2.มีงานทอดผ้าป่าของวิทยาเทคนิคสมุทรสงคราม เพื่อ สร้างอาคารอเนกประสงค์
เลี้ยงนก
วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2552
วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2552
"หนุ่มๆแสดงอาการรักอย่างไร"
"หนุ่มๆแสดงอาการรักอย่างไร"
ดร.ดักลาส ไวส์ ผู้เขียน "Intimacy : A 100 Day Guide to Lasting Relationships" (แปลว่า ความสัมพันธ์แนบแน่น : แนะแนวทาง 100 วันที่จะรักษาความสัมพันธ์ให้คงอยู่ยาวนาน)
เค้าบอกว่า "จากการศึกษาพบว่า ผู้ชายจะไม่ใช้คำพูดในการแสดงออกถึงอารมณ์
สมองของผู้ชายเป็นระบบงาน เขาจึงมักแสดงออกถึงความรู้สึกทางการกระทำ"
แล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะ ว่าหนุ่มๆของคุณแสดงความรักต่อคุณ?
1. เขาให้คุณยืมข้าวของสมบัติอันมีค่าของเขา
ทั้งๆที่เขาก็รู้ว่าคุณอาจทำมันหายหรือพัง แต่เขาก็เต็มใจที่จะสละให้ เพราะเขาต้องการที่จะแสดงว่าเขาไว้ใจและแคร์คุณอย่างมากมาย
เช่น ยืมมือถือ , ยืมรถ , ยืมโน้ตบุ้ค หรือยืมกล้อง ฯลฯ
2. เขาอยากให้คุณปลอดภัย ยามไกลตา
เขาต้องให้คุณโทรหาเขาทุกครั้งที่ก้าวเข้าเหยียบประตูบ้าน เพื่อเช็คความปลอดภัย
หรือจดทะเบียนรถแท็กซี่ทุกคัน ทุกครั้งที่คุณขึ้นกลับบ้าน
หรือโทรหาคุณ เวลาที่คุณขาดการติดต่อกับเค้านานๆ
หรือกระวนกระวายใจ เมื่อมือถือคุณไม่สามารถติดต่อได้ ระหว่างเดินทางกลับบ้าน
3. เขาพร้อมจะถ่ายรูปคู่กับคุณ
ผู้ชายส่วนใหญ่มักไม่ลงรอยกับกล้อง เพราะว่าเค้าเขินกล้องและการต้องแอ็คท่า
และผู้ชายบางคนก็ไม่อยากผูดมัดตัวเองกับการถ่ายรูปคู่กับหญิงสาว เพราะเขาไม่อยากให้คนอื่นมาเห็นรูป แล้วคิดว่าเขามีแฟนแล้ว
แต่ถ้าเมื่อไหร่ ที่มีคนคว้ากล้องขึ้นมาในงานปาร์จี้ แล้วหนุ่มของคุณกระโดดเข้ามาโอบไหล่คุณและยิ้มอย่างเต็มใจ
มันคือ สัญญาณว่าเขาจริงจังกับคุณจริงๆ เขาอยากประกาศให้ทั้งโลกรู้ว่าคุณคือสาวของเขา
แล้วจะยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น ถ้าเขานำเอารูปคู่ไปวางไว้ที่ออฟฟิศหรือที่บ้าน
(มีในมือถือแทนละกันนะ)
4. เขาใส่เสื้อที่คุณชม
ถ้าผู้หญิงที่เขาคลั่งส่งสัญญาณว่าเธอยอมรับเขาเรื่องการแต่งตัว
เขาจะตื่นเต้นและตื้นตัน เขาจะแสดงออกถึงความซาบซึ้งด้วยการใส่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
(แต่อาจจะใช้ไม่ได้กับคนที่มีเสื้อเพียงไม่กี่ตัวในตู้เสื้อผ้านะ อิอิ)
5. เขานั่งเคียงข้างคุณ เมื่อออกไปกินอาหารด้วยกัน
ในการเดทดินเนอร์ครั้งแรกๆ หนุ่มของคุณก็อาจจะทำแบบที่เป็นปกติ คือ การนั่งตรงข้าม เพราะเขาอยากเห็นหน้าคุณ
แต่หนุ่มที่มีความรัก จะนั่งข้างๆคุณ เพราะนั่นคือความใกล้ชิดทางร่างกายที่แสดงถึงความผูกพันกับคุณ
แถมการนั่งแบบนี้แสดงถึงสัญชาตญาณความหวงก้างของผู้ชายอีกด้วย
(บางครั้งการนั่งข้างกัน ก็ต้องดูขนาดของที่นั่งด้วยนะ....บางทีมันก็อึดอัดอ่า....แหะๆ แต่ก็อบอุ่นดีจ้ะ)
6. เขาแชร์อาหารกับคุณ
การแบ่งอาหารให้ใครซักคนแม้เพียงนิดเดียว เป็นการกระทำที่อ่อนโยน
เป็นกริยาที่สัตว์ทั้งหลาย รวมทั้งมนุษย์จะกระทำเพื่อแสดงออกถึงความห่วงใยและความรัก
และยิ่งถ้าเขาป้อนให้ถึงปาก คิดได้เลยว่า นั่นคือ สิ่งบ่งบอกว่าความรู้สึกของเขานุ่มนวลกับคุณอย่างยิ่ง
(การป้อนกันก็น่ารักดี แต่อาจทำให้เพื่อนร่วมโต๊ะ หรือโต๊ะอื่นๆตาลุกเป็นไฟได้)
7. เขาปัดไรผมที่รุ่ยร่ายปิดหู ปิดตาคุณ
การปัดผมให้อย่างไม่รู้ตัวแสดงถึงสัญชาตญาณความเป็นเจ้าของ
มันส่งสัญญาณถึงคนรอบข้างว่าเขาคือแฟนตัวจริงของคุณ
(อย่าปัดแรงนะ เด๋วจะนึกว่าตบหัวแฟนแทน อ่อ....แล้วเวลาปัดผมอ่ะ อย่าเอานิ้วไปจิ้มหน้าเธอบ่อยนักล่ะ
เพราะมือของคุณสกปรก พอที่จะทำให้หน้าใสๆของเธอเป็นสิวได้)
Tips : ประโยคต่อไปนี้ของผู้ชายมีความหมายว่า "ผมรักคุณ"
* แน่นอน ผมจะขับรถไปส่งคุณที่แอร์พอร์ต
* แค่โทรมาถามว่าคุณเป็นไงบ้าง
* ผมไม่รู้ว่าผมจะมีชีวิตอยู่ยังไง โดยไม่มีคุณ
* คุณจะเป็นแม่ที่ยอดเยี่ยมในอนาคต
--------------------------------------------------------------------------------
โอย......เหนื่อยมาก แต่ว่าตรงใจ เลยพิมพ์มาให้อ่านกัน
แถมคอสโมนี่ทำเราตาร้อนด้วยอ่ะ ...เพราะว่ามีเพื่อนเราได้รางวัลไปเที่ยวทะเลกับหนังสือด้วย
ที่ตาร้อนก็เพราะ แฟนมันไปขอแต่งงานที่นั่นน่ะซี้........แง๊ววววววว ไรว๊า....
ดร.ดักลาส ไวส์ ผู้เขียน "Intimacy : A 100 Day Guide to Lasting Relationships" (แปลว่า ความสัมพันธ์แนบแน่น : แนะแนวทาง 100 วันที่จะรักษาความสัมพันธ์ให้คงอยู่ยาวนาน)
เค้าบอกว่า "จากการศึกษาพบว่า ผู้ชายจะไม่ใช้คำพูดในการแสดงออกถึงอารมณ์
สมองของผู้ชายเป็นระบบงาน เขาจึงมักแสดงออกถึงความรู้สึกทางการกระทำ"
แล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะ ว่าหนุ่มๆของคุณแสดงความรักต่อคุณ?
1. เขาให้คุณยืมข้าวของสมบัติอันมีค่าของเขา
ทั้งๆที่เขาก็รู้ว่าคุณอาจทำมันหายหรือพัง แต่เขาก็เต็มใจที่จะสละให้ เพราะเขาต้องการที่จะแสดงว่าเขาไว้ใจและแคร์คุณอย่างมากมาย
เช่น ยืมมือถือ , ยืมรถ , ยืมโน้ตบุ้ค หรือยืมกล้อง ฯลฯ
2. เขาอยากให้คุณปลอดภัย ยามไกลตา
เขาต้องให้คุณโทรหาเขาทุกครั้งที่ก้าวเข้าเหยียบประตูบ้าน เพื่อเช็คความปลอดภัย
หรือจดทะเบียนรถแท็กซี่ทุกคัน ทุกครั้งที่คุณขึ้นกลับบ้าน
หรือโทรหาคุณ เวลาที่คุณขาดการติดต่อกับเค้านานๆ
หรือกระวนกระวายใจ เมื่อมือถือคุณไม่สามารถติดต่อได้ ระหว่างเดินทางกลับบ้าน
3. เขาพร้อมจะถ่ายรูปคู่กับคุณ
ผู้ชายส่วนใหญ่มักไม่ลงรอยกับกล้อง เพราะว่าเค้าเขินกล้องและการต้องแอ็คท่า
และผู้ชายบางคนก็ไม่อยากผูดมัดตัวเองกับการถ่ายรูปคู่กับหญิงสาว เพราะเขาไม่อยากให้คนอื่นมาเห็นรูป แล้วคิดว่าเขามีแฟนแล้ว
แต่ถ้าเมื่อไหร่ ที่มีคนคว้ากล้องขึ้นมาในงานปาร์จี้ แล้วหนุ่มของคุณกระโดดเข้ามาโอบไหล่คุณและยิ้มอย่างเต็มใจ
มันคือ สัญญาณว่าเขาจริงจังกับคุณจริงๆ เขาอยากประกาศให้ทั้งโลกรู้ว่าคุณคือสาวของเขา
แล้วจะยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น ถ้าเขานำเอารูปคู่ไปวางไว้ที่ออฟฟิศหรือที่บ้าน
(มีในมือถือแทนละกันนะ)
4. เขาใส่เสื้อที่คุณชม
ถ้าผู้หญิงที่เขาคลั่งส่งสัญญาณว่าเธอยอมรับเขาเรื่องการแต่งตัว
เขาจะตื่นเต้นและตื้นตัน เขาจะแสดงออกถึงความซาบซึ้งด้วยการใส่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
(แต่อาจจะใช้ไม่ได้กับคนที่มีเสื้อเพียงไม่กี่ตัวในตู้เสื้อผ้านะ อิอิ)
5. เขานั่งเคียงข้างคุณ เมื่อออกไปกินอาหารด้วยกัน
ในการเดทดินเนอร์ครั้งแรกๆ หนุ่มของคุณก็อาจจะทำแบบที่เป็นปกติ คือ การนั่งตรงข้าม เพราะเขาอยากเห็นหน้าคุณ
แต่หนุ่มที่มีความรัก จะนั่งข้างๆคุณ เพราะนั่นคือความใกล้ชิดทางร่างกายที่แสดงถึงความผูกพันกับคุณ
แถมการนั่งแบบนี้แสดงถึงสัญชาตญาณความหวงก้างของผู้ชายอีกด้วย
(บางครั้งการนั่งข้างกัน ก็ต้องดูขนาดของที่นั่งด้วยนะ....บางทีมันก็อึดอัดอ่า....แหะๆ แต่ก็อบอุ่นดีจ้ะ)
6. เขาแชร์อาหารกับคุณ
การแบ่งอาหารให้ใครซักคนแม้เพียงนิดเดียว เป็นการกระทำที่อ่อนโยน
เป็นกริยาที่สัตว์ทั้งหลาย รวมทั้งมนุษย์จะกระทำเพื่อแสดงออกถึงความห่วงใยและความรัก
และยิ่งถ้าเขาป้อนให้ถึงปาก คิดได้เลยว่า นั่นคือ สิ่งบ่งบอกว่าความรู้สึกของเขานุ่มนวลกับคุณอย่างยิ่ง
(การป้อนกันก็น่ารักดี แต่อาจทำให้เพื่อนร่วมโต๊ะ หรือโต๊ะอื่นๆตาลุกเป็นไฟได้)
7. เขาปัดไรผมที่รุ่ยร่ายปิดหู ปิดตาคุณ
การปัดผมให้อย่างไม่รู้ตัวแสดงถึงสัญชาตญาณความเป็นเจ้าของ
มันส่งสัญญาณถึงคนรอบข้างว่าเขาคือแฟนตัวจริงของคุณ
(อย่าปัดแรงนะ เด๋วจะนึกว่าตบหัวแฟนแทน อ่อ....แล้วเวลาปัดผมอ่ะ อย่าเอานิ้วไปจิ้มหน้าเธอบ่อยนักล่ะ
เพราะมือของคุณสกปรก พอที่จะทำให้หน้าใสๆของเธอเป็นสิวได้)
Tips : ประโยคต่อไปนี้ของผู้ชายมีความหมายว่า "ผมรักคุณ"
* แน่นอน ผมจะขับรถไปส่งคุณที่แอร์พอร์ต
* แค่โทรมาถามว่าคุณเป็นไงบ้าง
* ผมไม่รู้ว่าผมจะมีชีวิตอยู่ยังไง โดยไม่มีคุณ
* คุณจะเป็นแม่ที่ยอดเยี่ยมในอนาคต
--------------------------------------------------------------------------------
โอย......เหนื่อยมาก แต่ว่าตรงใจ เลยพิมพ์มาให้อ่านกัน
แถมคอสโมนี่ทำเราตาร้อนด้วยอ่ะ ...เพราะว่ามีเพื่อนเราได้รางวัลไปเที่ยวทะเลกับหนังสือด้วย
ที่ตาร้อนก็เพราะ แฟนมันไปขอแต่งงานที่นั่นน่ะซี้........แง๊ววววววว ไรว๊า....
คุณลักษณะของภาษา จุดเด่น จุดด้อย ของภาษา C
คุณลักษณะของภาษา จุดเด่น จุดด้อย และตัวอย่างของภาษาฟอร์แทรน
ภาษาฟอร์แทรน (FORTRAN - FORmula TRANslation) จัดได้ว่าเป็นภาษาระดับสูงภาษาแรกของโลก พัฒนาในปี ค.ศ. 1954 โดยทีมนักคอมพิวเตอร์ บริษัท ไอบีเอ็ม (IBM) นำทีมโดย จอห์น แบค
คัส (John Backus) โดยแนะนำออกมาสองรุ่น คือ FORTRAN II และ FORTRAN IV ต่อมาได้พัฒนาภาษา เป็นมาตรฐานรุ่นแรก เรียกว่า FORTRAN-66 ภาษาฟอร์แทรนเป็นภาษาที่ เหมาะสมกับงาน
คำนวณ มาก จึงเป็นที่นิยมในกลุ่มวิศวกร นักสถิติและนักวิจัย ในการคำนวณจะมีฟังก์ชันต่างๆ ไว้ให้เรียกใช้ได้เต็มที่ เช่น การหารากที่สอง การหาค่าสัมบูรณ์ เป็นต้น แต่ไม่สามารถสั่งพิมพ์ผลหรือรายงานได้ดีเหมือนภาษาโคบอล แต่ อย่างไรก็ตามยังมีข้อบกพร่อง อีกหลายประการ เช่น ไม่สามารถกำหนดชนิดข้อมูล ไม่สามารถทำงานกับ ข้อมูลประเภทสายอักขระ และไม่มีคำสั่งที่สามารถกำหนด โครงสร้างได้เหมาะสม จึงมีการปรับปรุงแก้ไข และออกมาเป็น FORTRAN-77 และ FORTRAN-88 ซึ่งยังมีใช้จนถึงปัจจุบัน
วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม 2551 11:24
ภาษาฟอร์แทรน (FORTRAN - FORmula TRANslation) จัดได้ว่าเป็นภาษาระดับสูงภาษาแรกของโลก พัฒนาในปี ค.ศ. 1954 โดยทีมนักคอมพิวเตอร์ บริษัท ไอบีเอ็ม (IBM) นำทีมโดย จอห์น แบค
คัส (John Backus) โดยแนะนำออกมาสองรุ่น คือ FORTRAN II และ FORTRAN IV ต่อมาได้พัฒนาภาษา เป็นมาตรฐานรุ่นแรก เรียกว่า FORTRAN-66 ภาษาฟอร์แทรนเป็นภาษาที่ เหมาะสมกับงาน
คำนวณ มาก จึงเป็นที่นิยมในกลุ่มวิศวกร นักสถิติและนักวิจัย ในการคำนวณจะมีฟังก์ชันต่างๆ ไว้ให้เรียกใช้ได้เต็มที่ เช่น การหารากที่สอง การหาค่าสัมบูรณ์ เป็นต้น แต่ไม่สามารถสั่งพิมพ์ผลหรือรายงานได้ดีเหมือนภาษาโคบอล แต่ อย่างไรก็ตามยังมีข้อบกพร่อง อีกหลายประการ เช่น ไม่สามารถกำหนดชนิดข้อมูล ไม่สามารถทำงานกับ ข้อมูลประเภทสายอักขระ และไม่มีคำสั่งที่สามารถกำหนด โครงสร้างได้เหมาะสม จึงมีการปรับปรุงแก้ไข และออกมาเป็น FORTRAN-77 และ FORTRAN-88 ซึ่งยังมีใช้จนถึงปัจจุบัน
วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม 2551 11:24
ประวัติของภาษา C
ค.ศ. 1970 มีการพัฒนาภาษา B โดย Ken Thompson ซึ่งทำงานบนเครื่อง DEC PDP-7
ซึ่งทำงานบนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ไม่ได้และยังมีข้อจำกัดในการใช้งานอยู่
(ภาษา B สืบทอดมาจากภาษา BCPL ซึ่งเขียนโดย Marth Richards)
ค.ศ. 1972 Dennis M. Ritchie และ Ken Thompson ได้สร้างภาษา C
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพภาษา B ให้ดียิ่งขึ้น
ในระยะแรกภาษา C ไม่เป็นที่นิยมแก่นักโปรแกรมเมอร์โดยทั่วไปนัก
ค.ศ. 1978 Brian W. Kernighan และ Dennis M. Ritchie
ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า The C Programming Language
และหนังสือเล่มนี้ทำ ให้บุคคลทั่วไปรู้จักและนิยมใช้ภาษา C ในการเขียนโปรแกรมมากขึ้น
แต่เดิมภาษา C ใช้ Run บนเครื่องคอมพิวเตอร์ 8 bit ภายใต้ระบบปฏิบัติการ CP/M ของ IBMPC
ซึ่งในช่วงปี ค. ศ. 1981 เป็นช่วงของการพัฒนาเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ภาษา C
จึงมีบทบาทสำ คัญในการนำ มาใช้บนเครื่อง PC ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
และมีการพัฒนาต่อมาอีกหลาย ๆ ค่าย
ดังนั้นเพื่อกำ หนดทิศทางการใช้ภาษา C ให้เป็นไปแนวทางเดียวกัน ANSI
(American National StandardInstitute) ได้กำหนดข้อตกลงที่เรียกว่า 3J11
เพื่อสร้างภาษา C มาตรฐานขึ้นมา เรียนว่า ANSI C
ค.ศ. 1983 Bjarne Stroustrup แห่งห้องปฏิบัติการเบล (Bell Laboratories)
ได้พัฒนาภาษา C++ ขึ้นรายละเอียดและความสามารถของ C++ มีส่วนขยายเพิ่มจาก C
ที่สำคัญ ๆ ได้แก่
แนวความคิดของการเขียนโปรแกรมแบบกำหนดวัตถุเป้าหมายหรือแบบ OOP
(Object Oriented Programming) ซึ่งเป็นแนวการเขียนโปรแกรมที่เหมาะกับการ
พัฒนาโปรแกรมขนาดใหญ่ที่มีความสลับซับซ้อนมาก มีข้อมูลที่ใช้ในโปรแกรมจำนวนมาก
จึงนิยมใช้เทคนิคของการเขียนโปรแกรมแบบ OOP ในการพัฒนาโปรแกรมขนาดใหญ่ในปัจจุบันนี้
ดเริ่มต้นของภาษาซี
ภาษาซีเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1972 โดย Dennis Ritchie แห่ง Bell Labs โดยภาษาซีนั้นพัฒนามาจาก ภาษา B และจากภาษา BCPL ซึ่งในช่วงแรกนั้นภาษาซีถูกออกแบบให้ใช้เป็นภาษาการเขียนโปรแกรมในระบบ UNIX และเริ่มมีคนสนใจมากขึ้นในปี ค.ศ.1978 เมื่อ Brain Kernighan ร่วมกับ Dennis Ritchie พัฒนามาตรฐานของภาษาซีขึ้นมา คือ K&R (Kernighan & Ritchie) และทั้งสองยังได้แต่งหนังสือชื่อว่า "The C Programming Language" โดยภาษาซีนั้นสามารถจะปรับใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์รูปแบบต่างๆได้ ต่อมาในช่วง ปี ค.ศ.1988 Ritchie และ Kernighan ได้ร่วมกับ ANSI (American National Standards Institute) สร้างเป็นมาตรฐานของภาษาซีขึ้นมาใหม่มีชื่อว่า "ANSI C"
Dennis Ritchie
ภาษา ซีนั้นจัดเป็นภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมที่นิยมใช้งาน ซึ่งภาษาซีจัดเป็นภาษาระดับกลาง (Middle-Level Language) เหมาะกับการเขียนโปรแกรมแบบโครงสร้าง (Structured Programming) โดยมีคุณสมบัติโดดเด่นอย่างหนึ่งคือ มีความยืดหยุ่นมาก กล่าวคือ สามารถทำงานกับเครื่องมือต่างๆ สามารถปรับเปลี่ยนการเขียนโปรแกรมในรูปแบบต่างๆได้ เช่น สามารถเขียนโปรแกรมที่มีความยาวหลายบรรทัดให้เหลือความยาว 2-3 บรรทัดได้ โดยมีการผลการทำงานที่เหมือนเดิมครับ
เหตุผลที่ควรเรียนภาษาซี
ก็ เนื่องจากภาษาซีเป็นภาษาแบบโครงสร้างที่สามารถศึกษาและทำความเข้าใจได้ไม่ ยาก อีกทั้งยังสามารถเป็นพื้นฐานในการเขียนโปรแกรมภาษาอื่นๆ ได้อีก เช่น C++, Perl, JAVA เป็นต้น
จาก C สู่ C++
ถูกพัฒนาโดย Bjarne Stroustrup แห่ง Bell Labs โดยได้นำเอาภาษา C มาพัฒนาและใส่แนวคิดการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ หรือ OOP (Object Oriented Programming) เข้าไปด้วย ซึ่งเป็นที่มาของ C++ ก็คือ นำภาษา C มาพัฒนาปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
Bjarne Stroustrup
จำเป็นไหม? ที่ต้องเรียนภาษา C ก่อน เรียน C++ เลยไม่ได้เหรอ?
คำ ตอบก็คือ คุณจะเรียน C++ เลยก็ได้ครับ โดยไม่ต้องศึกษาภาษา C มาก่อน แต่ถ้าคุณเข้าใจหลักการทำงาน และการเขียนโปรแกรมภาษา C แล้วจะสามารถต่อยอด C++ ได้เร็วกว่า อีกทั้งยังสามารถเข้าใจแนวคิดการเขียนโปรแกรมภาษาอื่นๆ ได้อีก ซึ่งในบทความในช่วงแรกผมจะนำเสนอหลักและแนวคิดในการเขียนโปรแกรมภาษา C ก่อนนะครับ เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจในพื้นฐานก่อนนะครับ
ต่อไปจะขอเกริ่นถึงการเขียนโปรแกรมแบบโครงสร้างสักเล็กน้อยก่อนนะครับ แล้วก็จะเริ่มเข้ากระบวนการการเขียนโปรแกรมกัน
ลักษณะโปรแกรมแบบโครงสร้าง
การ เขียนโปรแกรมแบบโครงสร้าง (Structured Programming) ก็คือ การนำโครงสร้างของคำสั่งหลายๆ รูปแบบ นำมาใช้ในโปรแกรม โดยจะมีการใช้คำสั่งลักษณะ goto ให้น้อยที่สุด ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมแบบโครงสร้าง ก็มี ภาษา C, Pascal และ Cobol เป็นต้นครับ ผมจะยกตัวอย่างในภาษา C ในรูปแบบการเขียนโปรแกรมแบบโครงสร้างให้ดูดังด้านล่างนะครับ
ซึ่งทำงานบนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ไม่ได้และยังมีข้อจำกัดในการใช้งานอยู่
(ภาษา B สืบทอดมาจากภาษา BCPL ซึ่งเขียนโดย Marth Richards)
ค.ศ. 1972 Dennis M. Ritchie และ Ken Thompson ได้สร้างภาษา C
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพภาษา B ให้ดียิ่งขึ้น
ในระยะแรกภาษา C ไม่เป็นที่นิยมแก่นักโปรแกรมเมอร์โดยทั่วไปนัก
ค.ศ. 1978 Brian W. Kernighan และ Dennis M. Ritchie
ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า The C Programming Language
และหนังสือเล่มนี้ทำ ให้บุคคลทั่วไปรู้จักและนิยมใช้ภาษา C ในการเขียนโปรแกรมมากขึ้น
แต่เดิมภาษา C ใช้ Run บนเครื่องคอมพิวเตอร์ 8 bit ภายใต้ระบบปฏิบัติการ CP/M ของ IBMPC
ซึ่งในช่วงปี ค. ศ. 1981 เป็นช่วงของการพัฒนาเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ภาษา C
จึงมีบทบาทสำ คัญในการนำ มาใช้บนเครื่อง PC ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
และมีการพัฒนาต่อมาอีกหลาย ๆ ค่าย
ดังนั้นเพื่อกำ หนดทิศทางการใช้ภาษา C ให้เป็นไปแนวทางเดียวกัน ANSI
(American National StandardInstitute) ได้กำหนดข้อตกลงที่เรียกว่า 3J11
เพื่อสร้างภาษา C มาตรฐานขึ้นมา เรียนว่า ANSI C
ค.ศ. 1983 Bjarne Stroustrup แห่งห้องปฏิบัติการเบล (Bell Laboratories)
ได้พัฒนาภาษา C++ ขึ้นรายละเอียดและความสามารถของ C++ มีส่วนขยายเพิ่มจาก C
ที่สำคัญ ๆ ได้แก่
แนวความคิดของการเขียนโปรแกรมแบบกำหนดวัตถุเป้าหมายหรือแบบ OOP
(Object Oriented Programming) ซึ่งเป็นแนวการเขียนโปรแกรมที่เหมาะกับการ
พัฒนาโปรแกรมขนาดใหญ่ที่มีความสลับซับซ้อนมาก มีข้อมูลที่ใช้ในโปรแกรมจำนวนมาก
จึงนิยมใช้เทคนิคของการเขียนโปรแกรมแบบ OOP ในการพัฒนาโปรแกรมขนาดใหญ่ในปัจจุบันนี้
ดเริ่มต้นของภาษาซี
ภาษาซีเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1972 โดย Dennis Ritchie แห่ง Bell Labs โดยภาษาซีนั้นพัฒนามาจาก ภาษา B และจากภาษา BCPL ซึ่งในช่วงแรกนั้นภาษาซีถูกออกแบบให้ใช้เป็นภาษาการเขียนโปรแกรมในระบบ UNIX และเริ่มมีคนสนใจมากขึ้นในปี ค.ศ.1978 เมื่อ Brain Kernighan ร่วมกับ Dennis Ritchie พัฒนามาตรฐานของภาษาซีขึ้นมา คือ K&R (Kernighan & Ritchie) และทั้งสองยังได้แต่งหนังสือชื่อว่า "The C Programming Language" โดยภาษาซีนั้นสามารถจะปรับใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์รูปแบบต่างๆได้ ต่อมาในช่วง ปี ค.ศ.1988 Ritchie และ Kernighan ได้ร่วมกับ ANSI (American National Standards Institute) สร้างเป็นมาตรฐานของภาษาซีขึ้นมาใหม่มีชื่อว่า "ANSI C"
Dennis Ritchie
ภาษา ซีนั้นจัดเป็นภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมที่นิยมใช้งาน ซึ่งภาษาซีจัดเป็นภาษาระดับกลาง (Middle-Level Language) เหมาะกับการเขียนโปรแกรมแบบโครงสร้าง (Structured Programming) โดยมีคุณสมบัติโดดเด่นอย่างหนึ่งคือ มีความยืดหยุ่นมาก กล่าวคือ สามารถทำงานกับเครื่องมือต่างๆ สามารถปรับเปลี่ยนการเขียนโปรแกรมในรูปแบบต่างๆได้ เช่น สามารถเขียนโปรแกรมที่มีความยาวหลายบรรทัดให้เหลือความยาว 2-3 บรรทัดได้ โดยมีการผลการทำงานที่เหมือนเดิมครับ
เหตุผลที่ควรเรียนภาษาซี
ก็ เนื่องจากภาษาซีเป็นภาษาแบบโครงสร้างที่สามารถศึกษาและทำความเข้าใจได้ไม่ ยาก อีกทั้งยังสามารถเป็นพื้นฐานในการเขียนโปรแกรมภาษาอื่นๆ ได้อีก เช่น C++, Perl, JAVA เป็นต้น
จาก C สู่ C++
ถูกพัฒนาโดย Bjarne Stroustrup แห่ง Bell Labs โดยได้นำเอาภาษา C มาพัฒนาและใส่แนวคิดการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ หรือ OOP (Object Oriented Programming) เข้าไปด้วย ซึ่งเป็นที่มาของ C++ ก็คือ นำภาษา C มาพัฒนาปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
Bjarne Stroustrup
จำเป็นไหม? ที่ต้องเรียนภาษา C ก่อน เรียน C++ เลยไม่ได้เหรอ?
คำ ตอบก็คือ คุณจะเรียน C++ เลยก็ได้ครับ โดยไม่ต้องศึกษาภาษา C มาก่อน แต่ถ้าคุณเข้าใจหลักการทำงาน และการเขียนโปรแกรมภาษา C แล้วจะสามารถต่อยอด C++ ได้เร็วกว่า อีกทั้งยังสามารถเข้าใจแนวคิดการเขียนโปรแกรมภาษาอื่นๆ ได้อีก ซึ่งในบทความในช่วงแรกผมจะนำเสนอหลักและแนวคิดในการเขียนโปรแกรมภาษา C ก่อนนะครับ เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจในพื้นฐานก่อนนะครับ
ต่อไปจะขอเกริ่นถึงการเขียนโปรแกรมแบบโครงสร้างสักเล็กน้อยก่อนนะครับ แล้วก็จะเริ่มเข้ากระบวนการการเขียนโปรแกรมกัน
ลักษณะโปรแกรมแบบโครงสร้าง
การ เขียนโปรแกรมแบบโครงสร้าง (Structured Programming) ก็คือ การนำโครงสร้างของคำสั่งหลายๆ รูปแบบ นำมาใช้ในโปรแกรม โดยจะมีการใช้คำสั่งลักษณะ goto ให้น้อยที่สุด ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมแบบโครงสร้าง ก็มี ภาษา C, Pascal และ Cobol เป็นต้นครับ ผมจะยกตัวอย่างในภาษา C ในรูปแบบการเขียนโปรแกรมแบบโครงสร้างให้ดูดังด้านล่างนะครับ
โค้ตภาษา c
1.//kampanat.c
2.#include
3.main()
4.{
5. pintf(" 92 M 6 Praknamdang Ampawa Samutsongkam");
6.}
2.#include
3.main()
4.{
5. pintf(" 92 M 6 Praknamdang Ampawa Samutsongkam");
6.}
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)